ประโยชน์ของผักชีใบเลื่อย ผักชีฝรั่งที่มากกว่าแค่เครื่องปรุง

ประโยชน์ของผักชีใบเลื่อย หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “ผักชีฝรั่ง” เป็นผักสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยดี มักเห็นแกล้มกับลาบ น้ำพริก หรือโรยหน้าต้มยำ แต่รู้หรือไม่ว่าผักชนิดนี้มีประโยชน์มากมายที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับคุณค่าและประโยชน์ของผักชีใบเลื่อยกันอย่างละเอียด

Table of Contents

ผักชีใบเลื่อยคืออะไร?

ผักชีใบเลื่อย (Eryngium foetidum L.) เป็นพืชล้มลุกในวงศ์ผักชี มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และเม็กซิโก เมื่อชาวโปรตุเกสนำเข้ามาในสมัยก่อน คนไทยจึงเรียกว่า “ผักชีฝรั่ง” เพื่อแยกความแตกต่างจากผักชีไทยที่รู้จักกันอยู่แล้ว

ส่วนชื่อ “ผักชีใบเลื่อย” มาจากลักษณะขอบใบที่เป็นหยักคล้ายฟันของใบเลื่อย ใบมีสีเขียวสด กว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่แรงกว่าผักชีไทย

คุณค่าทางโภชนาการของผักชีใบเลื่อย

ผักชีใบเลื่อยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่:

  • เบตาแคโรทีน – สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อต้านมะเร็ง
  • วิตามินเอ, บี1, บี2, บี3 – บำรุงสายตาและระบบประสาท
  • วิตามินซี – เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • วิตามินเค – ช่วยให้เลือดแข็งตัวปกติ
  • แคลเซียมและฟอสฟอรัส – บำรุงกระดูกและฟัน
  • ธาตุเหล็ก – ป้องกันโรคโลหิตจาง
  • กรดโฟลิก – สำคัญสำหรับสตรีมีครรภ์
  • น้ำมันหอมระเหย – ช่วยกระตุ้นระบบย่อย

15 ประโยชน์เด่นของผักชีใบเลื่อยต่อสุขภาพ

1. ช่วยแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

ผักชีใบเลื่อยมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ขับลมในกระเพาะ และแก้อาการท้องอืดได้เป็นอย่างดี

2. บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

ด้วยปริมาณแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินเค ที่สูง ผักชีใบเลื่อยจึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ

3. แก้ไข้และอาการหวัด

ใบและน้ำต้มจากรากผักชีใบเลื่อยช่วยขับเหงื่อและลดไข้ได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการหวัดและเจ็บคอ

4. รักษาแผลและแก้บวม

นำใบมาตำแล้วพอกบริเวณที่บาดแผลหรือบวม ช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้นและลดการอักเสบ

5. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย

ทั้งต้นสามารถนำมาตำพอกบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อย ช่วยลดอาการปวดและบรรเทาอาการแพ้

6. บำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ

ลำต้นมีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวให้สดใส เส้นผมและเล็บให้แข็งแรง

7. ช่วยระบายท้อง

น้ำคั้นหรือน้ำต้มจากใบช่วยระบายท้องได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก

8. ลดความดันโลหิต

ลำต้นมีสรรพคุณช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงได้

9. ทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานปกติ

ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้อยู่ในสภาวะสมดุล

10. แก้อาการปวดเมื่อย

นำลำต้นมาตำผสมกับน้ำมันงา หมกไฟให้สุก แล้วประคบแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย

11. บรรเทาปวดศีรษะ

ทั้งต้นสามารถนำมาใช้บรรเทาอาการปวดหัวได้

12. ขับปัสสาวะ

น้ำต้มจากรากช่วยขับปัสสาวะ ขับของเสียออกจากร่างกาย

13. แก้อาการอาหารเป็นพิษ

ทั้งต้นช่วยบรรเทาอาการอาหารเป็นพิษได้

14. บำรุงธาตุเหล็กสำหรับมารดาให้นมบุตร

ใบมีธาตุเหล็กสูง ช่วยทดแทนการเสียธาตุเหล็กของมารดาหลังคลอด

15. ดับกลิ่นปากและลมหายใจสดชื่น

กลิ่นหอมของใบช่วยดับกลิ่นปากและทำให้ลมหายใจสดชื่น

วิธีรับประทานผักชีใบเลื่อย

ผักชีใบเลื่อยสามารถรับประทานได้หลายวิธี:

  • รับประทานสด – เป็นผักแกล้มกับน้ำพริก ลาบ ก้อย หรือยำ
  • โรยหน้าอาหาร – ต้มยำ ต้มแซ่บ หรือซุปต่างๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและดับคาว
  • ต้มเป็นยา – ต้มใบหรือรากดื่มเป็นยาแก้ไข้และขับเหงื่อ
  • ทำเป็นชา – ทำใบเป็นชาชงดื่มวันละ 3 ถ้วย ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย

ข้อควรระวังในการบริโภคผักชีใบเลื่อย

แม้ผักชีใบเลื่อยจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังดังนี้:

  1. ไม่ควรกินมากเกินไป – ผักชีใบเลื่อยมีกรดออกซาลิก (Oxalic acid) สูงเป็นอันดับ 1 ในตระกูลผัก ซึ่งอาจทำให้เกิดนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะได้ หากรับประทานมากเกินไปหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน
  2. หญิงตั้งครรภ์ไม่แนะนำ – ไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก เพราะอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์
  3. ผู้ป่วยโรคไต – ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณน้อย
  4. รับประทานหลากหลาย – ควรเปลี่ยนรับประทานผักชนิดอื่นบ้างสลับกันไป เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลาย

เคล็ดลับการเลือกซื้อและเก็บรักษา

วิธีเลือกซื้อ:

  • เลือกใบที่สีเขียวสด ไม่เหลืองหรือเหี่ยว
  • ใบไม่มีรอยจุดหรือความเสียหาย
  • มีกลิ่นหอมชัดเจน

วิธีเก็บรักษา:

  • ใส่ถุงพลาสติกผูกให้มิดชิด
  • เก็บในช่องผักของตู้เย็น
  • สามารถเก็บได้นาน 5-7 วัน

สรุป

ผักชีใบเลื่อยไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องปรุงที่เพิ่มกลิ่นหอมให้อาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาที่ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ช่วยย่อยอาหาร บำรุงกระดูก แก้ไข้ ไปจนถึงรักษาแผลและแก้พิษ อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานในปริมาณพอดีและสลับกับผักชนิดอื่นเพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

Leave a Comment