ประโยชน์ของผักเคล: ราชินีผักใบเขียวที่คนรักสุขภาพห้ามพลาด

ประโยชน์ของผักเคล ในยุคที่คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ผักใบเขียวต่างๆ ก็เริ่มได้รับความนิยม โดยเฉพาะ “ผักเคล” (Kale) หรือที่หลายคนเรียกว่า “คะน้าใบหยัก” ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งผักใบเขียว” (Queen of Greens) และถือเป็นหนึ่งใน Superfood ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดในโลก วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับประโยชน์มหาศาลของผักเคลที่คุณไม่ควรพลาด

Table of Contents

ผักเคลคือะไร?

ผักเคล (Kale) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับผักกะหล่ำ บรอกโคลี และผักคะน้า มีลักษณะเป็นผักใบสีเขียวเข้มที่มีขอบใบหยักเป็นลอน บางสายพันธุ์อาจมีสีม่วงแดงปนอยู่ด้วย ผักชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากทวีปยุโรปและได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพทั่วโลก โดยในประเทศไทยเริ่มมีการปลูกและจำหน่ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ในประเทศไทยนิยมปลูกผักเคลหลายสายพันธุ์ โดยที่พบมากที่สุดคือ

  • Curly Kale (ผักเคลใบหยักสีเขียว) – มีใบหยักชัด ลำต้นแข็ง รสชาติติดขมเล็กน้อย
  • Lacinato Kale หรือ Dinosaur Kale (ผักเคลไดโนเสาร์) – มีใบยาวเรียบ สีเขียวเข้ม รสชาติหวานกว่า
  • Red Russian Kale (ผักเคลรัสเซีย) – มีก้านสีม่วงแดง รสชาติอ่อนโยน

คุณค่าทางโภชนาการของผักเคล

ผักเคลได้รับการยกย่องให้เป็น “Superfood” เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่นมาก ในผักเคลสด 100 กรัม จะให้พลังงานเพียง 33-50 กิโลแคลอรี่ แต่อัดแน่นไปด้วยสารอาหารมากมาย ดังนี้

วิตามินและแร่ธาตุหลัก (% ของความต้องการต่อวัน)

  • วิตามิน K: 684% – สูงที่สุดในบรรดาผักทั้งหมด
  • วิตามิน A: 206% – จากเบต้าแคโรทีน
  • วิตามิน C: 134% – มากกว่าส้มถึง 4.5 เท่า (120 มก. ในผักเคล 100 กรัม เทียบกับส้ม 53 มก.)
  • วิตามิน B6: สูง
  • แคลเซียม: มากกว่านมวัวเมื่อเทียบต่อแคลอรี่
  • ธาตุเหล็ก: สูงกว่าเนื้อสัตว์
  • แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส

สารอาหารพิเศษอื่นๆ

  • ไฟเบอร์: 4.7 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง
  • โปรตีน: สูง (เทียบกับผักอื่น)
  • โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6
  • สารต้านอนุมูลอิสระ: แคโรทีนอยด์, โพลีฟีนอล, ฟลาโวนอยด์
  • ลูทีน และ ซีแซนทีน
  • คลอโรฟิลล์: สูงมากเนื่องจากเป็นผักสีเขียวเข้ม

12 ประโยชน์ของผักเคลต่อสุขภาพ

1. วิตามิน K สูงสุดในโลก – ดีต่อกระดูกและเลือด

ผักเคลมีวิตามิน K สูงที่สุดในบรรดาผักทั้งหมด โดยการทานผักเคลเพียง 1 ถ้วย จะได้รับวิตามิน K ถึง 6 เท่าของความต้องการต่อวัน หรือกินแค่ 2 ต้น (ประมาณ 10-20 กรัม) ก็เพียงพอแล้ว

ประโยชน์ของวิตามิน K:

  • ช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ดี ป้องกันเลือดออกมาก
  • ดีต่อเซลล์สมองและระบบประสาท
  • เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ช่วยดูดซึมแคลเซียม
  • ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด
  • สำคัญมากสำหรับผู้สูงอายุ

2. ต้านมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผักเคลอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง ได้แก่

  • แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) – ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง
  • โพลีฟีนอล (Polyphenols) – ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) – ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อม
  • กลูโคซิโนเลต (Glucosinolates) – สารพิเศษที่มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งโดยตรง

นอกจากนี้ ผักเคลยังมีคลอโรฟิลล์สูง ซึ่งงานวิจัยพบว่าช่วยให้ร่างกายลดการดูดซึมสารก่อมะเร็งจากอาหารประเภทปิ้งย่าง (Heterocyclic Aromatic Amines) โดยคลอโรฟิลล์จะไปจับสารเหล่านี้แล้วขับออกจากร่างกาย

3. วิตามิน C สูงกว่าส้ม – เสริมภูมิคุ้มกัน

ผักเคล 100 กรัม มีวิตามิน C ถึง 120 มิลลิกรัม ในขณะที่ส้มมีเพียง 53 มิลลิกรัม ทำให้ผักเคลให้วิตามิน C มากกว่าส้มถึง 4.5 เท่า

ประโยชน์ของวิตามิน C ในผักเคล:

  • ช่วยสร้างและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • ป้องกันโรคหวัด และไข้หวัดใหญ่
  • ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดริ้วรอย
  • ช่วยระบบข้อต่อให้แข็งแรง
  • เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

คำแนะนำ: ควรทานผักเคลแบบสดๆ หรือปรุงอย่างไม่ผ่านความร้อนสูง เพราะวิตามิน C สลายตัวได้ง่ายด้วยความร้อน

4. ลดน้ำหนัก – ตัวช่วยสำหรับคนควบคุมน้ำหนัก

ผักเคลเป็นผักที่เหมาะมากสำหรับคนลดน้ำหนัก เพราะ

  • แคลอรี่ต่ำมาก – เพียง 33 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 กรัม
  • ไฟเบอร์สูง – 4.7 กรัมต่อ 1 ถ้วย ช่วยให้อิ่มนาน
  • ไม่มีไขมัน – เหมาะกับการควบคุมน้ำหนัก
  • คาร์โบไฮเดรตต่ำ – มี Glycemic Index (GI) ต่ำ ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่ง
  • โปรตีนสูง – ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ

ไฟเบอร์ในผักเคลยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายคล่อง ลดปัญหาท้องผูก และช่วยดักจับไขมันป้องกันไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

5. ลดคอเลสเตอรอล – ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด

ผักเคลมีสารพิเศษที่ช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ โดยงานวิจัยพบว่า

  • เพิ่มคอเลสเตอรอล HDL (คอเลสเตอรอลดี)
  • ลดคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลเลว) ลงได้ถึง 10%
  • มีลูทีนที่ช่วยลดระดับไขมันเลว LDL

ไฟเบอร์ในผักเคล (4.7 กรัมต่อ 1 ถ้วย) ยังช่วยดักจับคอเลสเตอรอลในลำไส้ ป้องกันไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

6. บำรุงกระดูกและฟัน – แคลเซียมสูงกว่านม

ผักเคลมีแคลเซียมสูงมากกว่านมวัวเมื่อเทียบกับปริมาณแคลอรี่ที่เท่ากัน โดยแคลเซียมในผักเคล 100 กรัม สามารถดูดซึมได้ดี ไม่มีแลคโตสที่บางคนแพ้

ประโยชน์ของแคลเซียมในผักเคล:

  • เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก
  • บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • บำรุงฟันและเหงือก
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการกระดูกแข็งแรงแต่ไม่อยากเพิ่มน้ำหนัก
  • เหมาะกับคนแพ้แลคโตสหรือคนทานมังสวิรัติ

7. บำรุงสายตา – ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม

ผักเคลอุดมไปด้วยลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ที่จอประสาทตา

ประโยชน์ต่อสายตา:

  • ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration)
  • ลดความเสี่ยงของต้อกระจก
  • ช่วยบำรุงสายตาให้แข็งแรง
  • ลดอาการปวดล้าของดวงตาจากการใช้งานหนัก
  • ช่วยกรองแสงสีน้ำเงิน (Blue Light) จากหน้าจอ

นอกจากนี้ผักเคลยังมีวิตามิน A สูง (206% ของความต้องการต่อวัน) ซึ่งจำเป็นต่อการมองเห็นในที่มืด

8. ดีท็อกซ์ล้างพิษ – ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย

ผักเคลมีไฟเบอร์และซัลเฟอร์สูง จึงช่วยในการ

  • กำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย
  • ดีท็อกซ์ลำไส้ และทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร
  • ลดปัญหาโรคลำไส้อักเสบ
  • กระตุ้นการทำงานของตับ ให้กรองสารพิษได้ดีขึ้น
  • ช่วยขับถ่ายได้ง่าย ลดปัญหาท้องผูก

คลอโรฟิลล์ในผักเคลยังช่วยดับกลิ่นตัว และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

9. บำรุงเลือดและป้องกันโลหิตจาง

ผักเคลมีธาตุเหล็กสูง กว่าการทานเนื้อสัตว์ทั่วไป ร่วมกับวิตามิน C ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

ประโยชน์:

  • ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
  • เลือดลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้เซลล์เติบโต
  • บำรุงการทำงานของตับ
  • ป้องกันโรคโลหิตจาง
  • เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือน

10. ลดการอักเสบในร่างกาย

ผักเคลมีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ทั้งการอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง

การอักเสบเรื้อรังเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมาย เช่น

  • โรคหัวใจ
  • โรคมะเร็ง
  • โรคเบาหวาน
  • โรคข้ออักเสบ
  • โรคผิวหนัง

การทานผักเคลเป็นประจำช่วยควบคุมภาวะอักเสบในร่างกายได้

11. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – ต้านโรคได้ดี

ด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระมากมายในผักเคล ทำให้

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ช่วยให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคได้ดีขึ้น
  • ป้องกันโรคหวัดและโรคติดเชื้อ
  • ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นจากการเจ็บป่วย
  • ชะลอความเสื่อมของเซลล์

12. ควบคุมน้ำตาลในเลือด – ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

ผักเคลมีค่า Glycemic Index (GI) ต่ำ และอุดมด้วยไฟเบอร์ ทำให้

  • ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
  • ช่วยจัดการระดับอินซูลินให้ดีขึ้น
  • เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่มีความเสี่ยง
  • ช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • สนับสนุนการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย

วิธีเลือกซื้อผักเคลที่ดี

เมื่อไปซื้อผักเคลที่ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ควรเลือกดังนี้

  1. เลือกใบที่สดใหม่ – สีเขียวเข้ม ไม่เหลือง ไม่เหี่ยว
  2. เลือกต้นที่ใบแน่น – ไม่เป็นรูหรือมีรอยกัดของแมลง
  3. หลีกเลี่ยงผักเคลที่มีจุดดำ – อาจเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพ
  4. เลือกต้นที่ก้านแข็งแรง – ไม่นิ่มหรือแฉะ
  5. หากเป็นไปได้เลือกแบบออร์แกนิก – ปลอดสารเคมี

ราคาผักเคล: ในประเทศไทย ผักเคลสดมีราคาประมาณ 200-300 บาทต่อกิโลกรัม หรือต้นกล้าอยู่ที่ 15-50 บาทต่อต้น ขึ้นอยู่กับแหล่งจำหน่ายและฤดูกาล

วิธีล้างและเก็บรักษาผักเคล

วิธีล้างผักเคลให้สะอาด

  1. แช่น้ำเกลือ – แช่ผักเคลในน้ำเกลือประมาณ 5-10 นาที เพื่อขจัดสารเคมีและแมลง
  2. ล้างน้ำไหล – ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง
  3. สะเด็ดน้ำ – ใช้เครื่องปั่นผัก หรือผ้าสะอาดซับน้ำให้แห้ง
  4. เด็ดก้านออก – หากก้านแข็งเกินไป สามารถเด็ดออกได้

วิธีเก็บรักษา

  • แช่ตู้เย็น – ห่อด้วยกระดาษชุบน้ำแล้วใส่ถุงพลาสติก เก็บได้ 3-5 วัน
  • อย่าล้างก่อนเก็บ – ล้างก่อนปรุงเท่านั้น จะทำให้เก็บได้นานขึ้น
  • แช่แข็งได้ – ล้างสะอาด สะเด็ดน้ำ หั่นเล็กๆ แช่แข็งเก็บได้นานหลายเดือน

ผักเคล กินดิบได้ไหม?

ได้เลยครับ! ผักเคลสามารถทานดิบได้ และจะให้คุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุด เพราะไม่มีการสูญเสียวิตามินและเอนไซม์จากความร้อน

วิธีทานดิบ

  1. ทำสลัดผักเคล – หั่นผักเคลเป็นชิ้นเล็กๆ ราดน้ำสลัดที่ชอบ
  2. ปั่นน้ำผักหรือสมูทตี้ – ใส่ผลไม้เพื่อลดความขม
  3. ทานเป็นผักสด – เคียงกับน้ำพริกหรืออาหารไทย

เคล็ดลับ: ก่อนทำสลัด ควรนวดใบผักเคลด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำมันมะกอก ประมาณ 1-2 นาที จะช่วยให้ใบนิ่มขึ้น ลดความขม และย่อยง่ายขึ้น

วิธีปรุงผักเคลให้อร่อยและได้ประโยชน์

1. ยำผักเคลกรอบกุ้งสด

วัตถุดิบ:

  • ผักเคล 2 กำมือ
  • กุ้งสด 10 ตัว
  • มะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ พริก กระเทียม

วิธีทำ:

  1. ล้างผักเคลสะอาด เด็ดเป็นชิ้นพอดีคำ
  2. ลวกกุ้งให้สุก ปอกเปลือก
  3. ผสมเครื่องปรุงทำน้ำยำ
  4. คลุกผักเคลกับน้ำยำและกุ้ง พร้อมเสิร์ฟ

2. น้ำผักผลไม้ผักเคล (Green Smoothie)

วัตถุดิบ:

  • ผักเคล 1 กำมือ
  • กล้วยหอม 1 ลูก
  • สับปะรด 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่าหรือนมอัลมอนด์ 1 ถ้วย
  • น้ำผึ้งตามชอบ

วิธีทำ:

  1. ล้างผักเคลให้สะอาด
  2. ใส่ผักเคล ผลไม้ และน้ำลงเครื่องปั่น
  3. ปั่นจนเนียน เติมน้ำผึ้งตามชอบ
  4. เสิร์ฟทันที เพื่อรับวิตามิน C เต็มๆ

3. ผักเคลอบกรอบ (Kale Chips)

วัตถุดิบ:

  • ผักเคล 200 กรัม
  • น้ำมันมะกอก 1-2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือทะเล เครื่องเทศตามชอบ

วิธีทำ:

  1. ล้างผักเคล สะเด็ดน้ำให้แห้ง เด็ดก้านออก
  2. คลุกใบผักเคลกับน้ำมันมะกอกและเครื่องเทศ
  3. อบที่ 150-160 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที จนกรอบ
  4. ทานเป็นของว่างทานเล่น

4. แกงจืดผักเคล

วัตถุดิบ:

  • ผักเคล 2 กำมือ
  • เต้าหู้หมัก หรือหมูสับ
  • กระเทียม ซีอิ๊วขาว น้ำซุป

วิธีทำ:

  1. ตั้งน้ำซุปให้เดือด
  2. ใส่กระเทียมเจียว เต้าหู้หรือหมู
  3. ใส่ผักเคล ปรุงรส ต้มจนสุก
  4. ยกลงเสิร์ฟร้อนๆ

5. ผัดผักเคลน้ำมันมะกอก

วัตถุดิบ:

  • ผักเคล 2 กำมือ
  • กระเทียม 3-4 กลีบ
  • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสหอยนางรม เกลือ พริก

วิธีทำ:

  1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก ผัดกระเทียมให้หอม
  2. ใส่ผักเคล ผัดไฟแรงรวดเร็ว 2-3 นาที
  3. ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม เกลือเล็กน้อย
  4. ตักใส่จานเสิร์ฟ

เคล็ดลับการปรุง: ไม่ควรปรุงผักเคลนานเกินไป เพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินและสารอาหาร ควรผัดหรือต้มให้สุกพอดี ยังกรอบอยู่บ้าง

ข้อควรระวังในการทานผักเคล

แม้ผักเคลจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการ

1. ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด

เนื่องจากผักเคลมีวิตามิน K สูงมาก ซึ่งช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ดี อาจรบกวนฤทธิ์ของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin ดังนั้น

  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานผักเคลเป็นประจำ
  • หรือทานในปริมาณที่คงที่ไม่มากจนเกินไป

2. ผู้ที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์

ผักเคลมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ที่อาจรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์หากทานมากเกินไป โดยเฉพาะทานดิบ ดังนั้น

  • ผู้ที่มีปัญหาไทรอยด์ควรปรุงให้สุกก่อนทาน
  • การปรุงด้วยความร้อนจะช่วยลดสารกอยโตรเจนลง
  • ไม่ควรทานมากเกินไป ควรทานในปริมาณพอเหมาะ

3. ผู้ที่มีปัญหานิ่วในไต

ผักเคลมีออกซาเลต (Oxalate) ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไต โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีประวัตินิ่ว ดังนั้น

  • ไม่ควรทานมากเกินไป
  • ควรดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อช่วยขับออกซาเลตออกจากร่างกาย
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนทานเป็นประจำ

4. ปริมาณที่เหมาะสม

แม้ผักเคลจะดีต่อสุขภาพ แต่การทานน้อยๆ ได้ประโยชน์ ทานมากเกินไปอาจเกิดโทษ ปริมาณที่แนะนำคือ

  • ทานวันละ 1-2 กำมือ (ประมาณ 50-100 กรัม)
  • หมุนเวียนทานกับผักชนิดอื่นๆ เพื่อความสมดุล
  • ฟังร่างกาย หากรู้สึกไม่สบายควรลดปริมาณ

ผลิตภัณฑ์จากผักเคลที่น่าสนใจ

นอกจากผักเคลสดแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผักเคลที่ช่วยให้ทานง่ายขึ้น เช่น

1. ผงผักเคล (Kale Powder)

ผงผักเคลเป็นผักเคลที่นำมาทำให้แห้งและบดเป็นผง ใช้งานสะดวก เพียงผสมกับน้ำ นม หรือสมูทตี้ก็ได้ประโยชน์จากผักเคลแล้ว เหมาะสำหรับคนที่

  • ไม่มีเวลาเตรียมผักเคลสด
  • ต้องการทานผักเคลทุกวันแต่หาผักสดยาก
  • ชอบดื่มเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
  • ต้องการเก็บไว้ได้นาน

2. บะหมี่ผักเคล (Kale Noodles)

เส้นบะหมี่ที่ผสมผงผักเคล มีสีเขียวสวยงาม อุดมไปด้วยไฟเบอร์และคุณค่าจากผักเคล เหมาะสำหรับคนที่อยากทานอาหารคลีนแต่ยังอยากทานเส้น

3. ผักเคลแช่แข็ง (Frozen Kale)

ผักเคลแช่แข็งช่วยให้เก็บได้นาน ใช้งานสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องผักเสีย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสต็อกไว้ใช้

ผักเคลเปรียบเทียบกับซูเปอร์ฟู้ดอื่นๆ

มาดูกันว่าผักเคลเทียบกับซูเปอร์ฟู้ดยอดนิยมอื่นๆ ต่างกันอย่างไร

คุณค่าผักเคลผักโขมบรอกโคลี
แคลอรี่ (ต่อ 100 กรัม)332334
วิตามิน Kสูงที่สุดสูงปานกลาง
วิตามิน Cสูงมากปานกลางสูง
ธาตุเหล็กสูงมากสูงปานกลาง
แคลเซียมสูงมากสูงปานกลาง
ไฟเบอร์4.7 กรัม2.2 กรัม2.6 กรัม

จะเห็นได้ว่าผักเคลให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีเยี่ยมกว่าผักใบเขียวอื่นๆ จึงสมควรได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งผักใบเขียว” อย่างแท้จริง

ผักเคลกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอื่นๆ

สำหรับคนที่ชอบดูแลสุขภาพด้วยเครื่องดื่ม การรวมผักเคลกับซูเปอร์ฟู้ดอื่นๆ จะช่วยเพิ่มประโยชน์ได้มากขึ้น

ผักเคล + มัทฉะ (Matcha)

การผสมผักเคลกับมัทฉะจะได้เครื่องดื่มที่อุดมไปด้วย

  • สารต้านอนุมูลอิสระสูงสุดจากทั้งสองตัว
  • คาเฟอีนธรรมชาติจากมัทฉะที่ช่วยให้ตื่นตัวอย่างไม่วิตกกังวล
  • คลอโรฟิลล์จากทั้งผักเคลและมัทฉะช่วยดีท็อกซ์
  • L-theanineจากมัทฉะช่วยผ่อนคลายและเพิ่มสมาธิ

สูตร: ผักเคล 1 กำมือ + มัทฉะ 1 ช้อนชา + กล้วยหอม + น้ำผึ้ง ปั่นรวมกัน

ผักเคล + ผงคาเคา (Cacao Powder)

สำหรับคนที่ชอบรสชาติช็อกโกแลต การผสมผงคาเคากับผักเคลจะได้

  • แมกนีเซียมสูงจากคาเคาช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • สารต้านอนุมูลอิสระจากทั้งสองตัว
  • ธาตุเหล็กสูงจากทั้งผักเคลและคาเคา
  • รสชาติหวานขมลงตัวดื่มง่าย

สูตร: ผักเคล 1 กำมือ + ผงคาเคา 1-2 ช้อนโต๊ะ + กล้วยหอม + นมอัลมอนด์ ปั่นรวมกัน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับผักเคล

ผักเคลและคะน้าเหมือนกันหรือเปล่า?

ไม่เหมือนกันครับ แม้จะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ผักเคลมีใบหยักเป็นลอนมากกว่า และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าผักคะน้าทั่วไป โดยเฉพาะวิตามิน K, วิตามิน C, และสารต้านอนุมูลอิสระ

ผักเคลกินทุกวันได้ไหม?

ได้ครับ แต่ควรทานในปริมาณพอเหมาะ วันละ 1-2 กำมือ (ประมาณ 50-100 กรัม) และควรหมุนเวียนทานกับผักชนิดอื่นๆ ด้วย เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย

ผักเคลทำให้อ้วนไหม?

ไม่ครับ ผักเคลมีแคลอรี่ต่ำมาก เพียง 33 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 กรัม แถมยังมีไฟเบอร์สูงช่วยให้อิ่มนาน จึงเป็นผักที่เหมาะมากสำหรับคนลดน้ำหนัก

ผักเคลมีรสชาติขมไหม?

ขมเล็กน้อยครับ โดยเฉพาะสายพันธุ์ Curly Kale ที่มีก้านแข็ง แต่สามารถลดความขมได้โดย

  • นวดใบผักด้วยน้ำมะนาวก่อนทำสลัด
  • ผสมกับผลไม้หวานๆเวลาปั่นน้ำ
  • เลือกสายพันธุ์ Lacinato Kaleที่หวานกว่า
  • ปรุงให้สุกจะช่วยลดความขม

ผักเคลเก็บในตู้เย็นได้กี่วัน?

หากห่อด้วยกระดาษชุบน้ำแล้วใส่ถุงพลาสติกเก็บในช่องผัก สามารถเก็บได้ประมาณ 3-5 วัน แต่ควรทานให้เร็วที่สุดเพื่อได้คุณค่าเต็มที่ หรือจะแช่แข็งเก็บได้นานหลายเดือน

ผักเคลราคาแพงไหม? หาซื้อได้ที่ไหน?

ในประเทศไทย ผักเคลมีราคาประมาณ 200-300 บาทต่อกิโลกรัม ซื้อได้ที่

  • ตลาดสดสายสุขภาพ
  • ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ (โลตัส บิ๊กซี ท็อปส์)
  • ตลาดออนไลน์เช่น Shopee, Lazada
  • ร้านผักออร์แกนิก

ทานผักเคลกับอะไรถึงจะดูดซึมได้ดี?

ควรทานผักเคลร่วมกับ

  • อาหารที่มีไขมันดีเช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว จะช่วยดูดซึมวิตามิน A, E, K ได้ดีขึ้น
  • อาหารที่มีวิตามิน Cเช่น ส้ม มะนาว จะช่วยดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงทานพร้อมชา กาแฟทันที เพราะจะรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก

ผักเคลเหมาะกับใครบ้าง?

ผักเคลเหมาะกับ

  • คนรักสุขภาพที่ต้องการซูเปอร์ฟู้ด
  • คนลดน้ำหนักต้องการอาหารแคลอรี่ต่ำ
  • คนทานมังสวิรัติต้องการโปรตีนและธาตุเหล็กจากพืช
  • ผู้สูงอายุต้องการบำรุงกระดูกและหัวใจ
  • เด็กและวัยรุ่นต้องการสารอาหารครบถ้วน
  • คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง
  • ผู้ที่ต้องการดีท็อกซ์

สรุป: ทำไมควรทานผักเคล?

ผักเคลคือซูเปอร์ฟู้ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดในบรรดาผักใบเขียวทั้งหมด ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ได้แก่

วิตามิน K สูงที่สุดในโลก – บำรุงกระดูกและเลือด ✅ ต้านมะเร็ง – ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ✅ วิตามิน C สูงกว่าส้ม – เสริมภูมิคุ้มกัน ✅ ช่วยลดน้ำหนัก – แคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง ✅ ลดคอเลสเตอรอล – ดีต่อหัวใจ ✅ บำรุงกระดูกและฟัน – แคลเซียมสูงกว่านม ✅ บำรุงสายตา – มีลูทีนและซีแซนทีน ✅ ดีท็อกซ์ล้างพิษ – ช่วยขับสารพิษ ✅ บำรุงเลือด – ธาตุเหล็กสูง ✅ ลดการอักเสบ – มีโอเมก้า 3 ✅ เสริมภูมิคุ้มกัน – ป้องกันโรค ✅ ควบคุมน้ำตาล – GI ต่ำ

การเพิ่มผักเคลเข้าไปในอาหารประจำวันของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการทำสลัด ปั่นน้ำ หรือปรุงอาหาร จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมหาศาล และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับสุขภาพในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาทางเลือกเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอื่นๆ ที่สามารถเสริมประโยชน์จากผักเคลได้ แนะนำให้ลองผสมผักเคลกับมัทฉะออร์แกนิก Llamito หรือผงคาเคาดิบ ที่มีคุณภาพสูงและได้รับการรับรองมาตรฐาน อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอนะครับ


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  • สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • องค์การอาหารและยา (อย.)
  • Healthline: 10 Health Benefits of Kale
  • Medical News Today: What to know about kale

Leave a Comment